เครื่องวัดความเร็วลม (Anemometer): หลักการทำงาน ประเภท และการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม

เครื่องวัดความเร็วลม (Anemometer): หลักการทำงาน ประเภท และการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม

เครื่องวัดความเร็วลม (Anemometer): หลักการทำงาน ประเภท และการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม

เครื่องวัดความเร็วลม หรือ Anemometer เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัด “ความเร็วของอากาศหรือก๊าซ” ทั้งในระบบท่อ, ปล่องไอเสีย (Stack), ห้องคลีนรูม ไปจนถึงการตรวจวัดลมในงานสิ่งแวดล้อม เช่น สถานีอุตุนิยมวิทยา หรือระบบ HVAC (Heating, Ventilation, Air Conditioning)

ในโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องมือประเภทนี้ช่วยให้เราควบคุมการไหลของอากาศ, เฝ้าระวังมลพิษ, และตรวจสอบการระบายอากาศได้อย่างแม่นยำ

[ภาพที่ 1: แผนภาพหลักการทำงานของเครื่องวัดความเร็วลมชนิดต่าง ๆ]


2️⃣ ประเภทของ Anemometer

จากคู่มือของ Béla Lipták เครื่องวัดความเร็วลมแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่:

  1. ชนิด Pitot (หลอดพิโตต์) — ใช้หลักการวัดความดัน (Pressure Differential) เพื่อคำนวณความเร็วลม

  2. ชนิด Mechanical (แบบกลไก)

    • Vane Type (แบบใบพัด)

    • Cup Type (แบบถ้วย)

    • Propeller/Turbine Type (แบบใบจักร/เทอร์ไบน์)

  3. ชนิด Thermal (แบบลวดร้อน) — ใช้การระบายความร้อนของลวดเพื่อวัดความเร็วลม

  4. ชนิด Doppler (แบบคลื่นเสียงหรือเลเซอร์) — ใช้หลัก Doppler Effect เพื่อตรวจจับการเคลื่อนที่ของอนุภาคในอากาศ

[ภาพที่ 2: ตัวอย่างอุปกรณ์จริงจากแบรนด์ เช่น E+H, Yokogawa, Siemens]


3️⃣ ช่วงค่าความเร็วลม (Airflow Range)

ประเภท ช่วงความเร็วลม (ft/min) ความแม่นยำโดยประมาณ
Pitot (A) 0 – 10,000 ±2–3% FS
Vane (B1) 300 – 3,000 ±1–2%
Cup (B2) 0 – 15,000
Propeller (B3) 0 – 13,000
Thermal (C) 20 – 6,000 (บางรุ่นถึง 18,000) ±2%
Doppler Acoustic (D1) 0 – 7,000 ±1%
Doppler Laser (D2) 0 – 60,000 (ถึงระดับ Supersonic)

(1 ft/min ≈ 0.005 m/s)


4️⃣ การใช้งานในอุตสาหกรรม

  • HVAC และห้องคลีนรูม: ใช้เครื่องวัดแบบพกพา (Handheld) ตรวจสอบสมดุลการไหลของอากาศ

  • ปล่องไอเสีย (Stack): ใช้ Thermal Flow Probe วัดอัตราการไหลของก๊าซร้อนและเปียก

  • งานตรวจวัดลมภายนอก: ใช้ Doppler Anemometer เพื่อวัดโปรไฟล์ลมสามมิติ

  • โรงไฟฟ้า / โรงเคมี: ใช้ติดตั้งบนปล่องหรือจุดระบาย เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซและตรวจสอบทิศทางลมเพื่อความปลอดภัย

[ภาพที่ 3: ตัวอย่างการติดตั้งในหน้างานจริง เช่น บนปล่องระบายก๊าซของ Power Plant]


5️⃣ หลักการทำงานของชนิดต่าง ๆ

🔹 Mechanical Type

  • Vane Anemometer (แบบใบพัด)
    เมื่ออากาศไหลผ่าน ใบพัดจะหมุนด้วยความเร็วที่สัมพันธ์กับความเร็วลม
    ในรุ่นพกพา สัญญาณหมุนจะส่งผ่านเฟืองไปยังหน้าปัดแสดงผล หรือส่งสัญญาณไฟฟ้าผ่านตัวส่งสัญญาณ (Transmitter)

    [ภาพที่ 4: โครงสร้าง Vane Anemometer]

  • Cup Anemometer (แบบถ้วย 3 ใบ)
    การหมุนของถ้วยจะไม่ขึ้นกับทิศทางลม ใช้ร่วมกับ DC Tachometer เพื่อแปลงการหมุนเป็นแรงดันไฟฟ้าที่แปรผันตามความเร็วลม

    [ภาพที่ 5: Three-cup Anemometer]

  • Propeller/Impeller Type
    มักใช้ในงานภาคสนาม เนื่องจากมีหาง (Tail) ชี้ตามทิศลม จึงสามารถวัดได้ทั้งความเร็วและทิศทางลมพร้อมกัน

    [ภาพที่ 6: Impeller Anemometer]


🔹 Thermal Type

หรือเรียกว่า Hot-wire Anemometer
ภายในจะมีลวดร้อน (Heated Wire) ที่ถูกทำให้เย็นลงตามความเร็วลมที่ไหลผ่าน การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมินี้จะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า

เหมาะสำหรับวัดลมในท่ออากาศสะอาดหรือก๊าซที่ไม่กัดกร่อน เช่น ระบบ Cleanroom หรือ Duct Test

ช่วงวัดทั่วไป:

  • 20–500 ft/min

  • 50–1000 ft/min

  • 100–2000 ft/min

[ภาพที่ 7: หลักการของ Hot-wire Anemometer]


🔹 Doppler Type

ใช้หลักการ Doppler Effect — เมื่อแสงหรือเสียงสะท้อนกลับจากอนุภาคที่เคลื่อนที่ในอากาศ ความถี่ของคลื่นจะเปลี่ยนไปตามความเร็วของอนุภาคนั้น

แบ่งออกเป็น 2 แบบหลัก:

  • Acoustic Doppler (Ultrasonic) — ใช้คลื่นเสียง เหมาะกับงานตรวจสอบลมและมลพิษทางอากาศ

  • Laser Doppler (LDA) — ใช้แสงเลเซอร์ ความละเอียดสูงมาก ใช้ในงานวิจัยและการทดสอบอากาศพลศาสตร์ (Aerodynamics)

[ภาพที่ 8: หลักการ Laser Doppler Anemometer — แสงเลเซอร์ตัดกันสร้าง “จุดวัด” ที่อนุภาคเคลื่อนผ่าน]

อีกแบบหนึ่งคือ Laser Two-focus (L2F)
ใช้การวัดเวลาที่อนุภาคเคลื่อนผ่านลำแสง 2 จุดที่รู้ระยะห่างแน่นอน ให้ค่าที่นิ่งและมีสัญญาณรบกวนน้อยกว่า แต่มีโอกาสที่อนุภาคไม่ผ่านครบทั้งสองลำแสง


6️⃣ ความเร็วในการตอบสนอง (Response Time)

การตอบสนองของเครื่องวัดลมจะถูกอธิบายด้วยค่า Distance Constant — คือระยะทางของลมที่ต้องผ่านเครื่องมือก่อนที่สัญญาณจะตอบสนองได้ 63% ของค่าที่เปลี่ยนแปลง
เครื่องวัดเชิงพาณิชย์ทั่วไปมีค่า Distance Constant ประมาณ 6 ฟุต (≈ 1.8 เมตร)


7️⃣ ราคาและต้นทุนโดยประมาณ

ประเภท ราคาโดยประมาณ (USD)
Handheld Pitot / Thermal / Mechanical 500 – 2,500
Probe Sensor 300 – 500
Combined Air + Humidity + Temp 800 – 3,000
Vane + Transmitter (4–20 mA) ~2,500
Thermal Stack Flow Probe ~5,000
Acoustic Doppler System 15,000 – 90,000
Laser Doppler (LDA) 25,000 – 45,000

ในไทย มักนำเข้าจากแบรนด์ เช่น E+H, Yokogawa, TSI, Siemens, Vaisala, Foxboro ซึ่งมีทั้งแบบ Portable และ Fixed Mount


8️⃣ สรุป (Key Takeaways)

  • Anemometer เป็นเครื่องมือหลักในการวัดอัตราการไหลของอากาศและก๊าซ

  • ชนิด Mechanical เหมาะกับงานทั่วไปและราคาประหยัด

  • Thermal ใช้ในท่อสะอาด หรือระบบ HVAC

  • Doppler ใช้ในงานที่ต้องการความละเอียดสูงหรือไม่สามารถสัมผัสได้โดยตรง

  • ควรมี Wind Direction Indicator ติดตั้งคู่กับเครื่องมือในโรงงาน เพื่อความปลอดภัยในกรณีเกิดการรั่วไหลของก๊าซ

  • การเลือกชนิดของ Anemometer ควรขึ้นอยู่กับ สภาพการใช้งาน, ความแม่นยำที่ต้องการ, และงบประมาณ