เครื่องดูดควัน: อุปกรณ์สำคัญในครัวที่ช่วยลดกลิ่นและเพิ่มคุณภาพอากาศ
เครื่องดูดควัน เป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้สำหรับห้องครัวในบ้านและร้านอาหาร โดยเฉพาะครัวที่ต้องการความสะอาดและไม่มีปัญหาเรื่องกลิ่นอาหารหรือควันที่รบกวน เครื่องดูดควันช่วยลดการสะสมของควัน กลิ่น และไอน้ำมันในพื้นที่ทำอาหาร ทำให้ห้องครัวสะอาดและอากาศถ่ายเทได้ดีขึ้น
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับประเภทของเครื่องดูดควัน วิธีการเลือกใช้งานให้เหมาะสม รวมถึงการดูแลรักษาให้ใช้งานได้ยาวนาน
เครื่องดูดควันคืออะไร?
เครื่องดูดควัน (Range Hood หรือ Kitchen Hood) เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้เหนือเตาเพื่อดูดควัน ไอน้ำมัน และกลิ่นอาหารออกจากห้องครัว โดยทำงานผ่านระบบมอเตอร์และพัดลมที่ช่วยดึงควันเข้าสู่ตัวเครื่อง และส่งออกไปภายนอก หรือกรองอากาศให้สะอาดก่อนปล่อยกลับเข้ามาในห้อง
ประเภทของเครื่องดูดควัน
1. เครื่องดูดควันแบบปล่อยออกนอกบ้าน (Ducted Hood)
- ดูดควันและส่งออกนอกบ้านผ่านท่อระบายอากาศ
-
ข้อดี:
- มีประสิทธิภาพในการดูดควันและกลิ่นได้ดีมาก
- ลดการสะสมของไอน้ำมันในห้องครัว
-
ข้อเสีย:
- ต้องติดตั้งท่อระบายอากาศ ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
2. เครื่องดูดควันแบบหมุนเวียนอากาศ (Ductless Hood)
- ดูดควันและกรองผ่านฟิลเตอร์ก่อนปล่อยอากาศกลับเข้ามา
-
ข้อดี:
- ติดตั้งง่าย ไม่ต้องใช้ท่อระบายอากาศ
- เหมาะสำหรับครัวในคอนโดหรือพื้นที่จำกัด
-
ข้อเสีย:
- ประสิทธิภาพการดูดควันอาจไม่ดีเท่าแบบปล่อยออกนอกบ้าน
3. เครื่องดูดควันแบบติดผนัง (Wall-Mounted Hood)
- ติดตั้งบนผนังเหนือเตา
-
ข้อดี:
- เหมาะสำหรับครัวที่มีพื้นที่ผนังเพียงพอ
- ดีไซน์สวยงาม และมีหลากหลายรูปแบบ
4. เครื่องดูดควันแบบติดเพดาน (Ceiling-Mounted Hood)
- ติดตั้งบนเพดาน เหมาะสำหรับครัวที่มีเตาอยู่กลางห้อง
-
ข้อดี:
- เพิ่มความหรูหราให้กับครัว
- ครอบคลุมพื้นที่เตาขนาดใหญ่
5. เครื่องดูดควันแบบฝัง (Built-In Hood)
- ติดตั้งภายในตู้หรือส่วนประกอบของครัว
-
ข้อดี:
- ประหยัดพื้นที่และดูเรียบง่าย
- เหมาะสำหรับครัวสไตล์มินิมอล
วิธีการเลือกเครื่องดูดควันที่เหมาะสม
1. พิจารณาขนาดของเตา
- เครื่องดูดควันควรมีขนาดใหญ่กว่าเตาประมาณ 6-10 นิ้ว เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ดูดควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เลือกประเภทการติดตั้งที่เหมาะสม
- หากเป็นบ้าน มีพื้นที่เพียงพอ ควรเลือกแบบปล่อยควันออกนอกบ้าน
- สำหรับคอนโดหรือพื้นที่จำกัด ควรเลือกแบบหมุนเวียนอากาศ
3. ความแรงของมอเตอร์และกำลังดูด
- ค่ากำลังดูดควรอยู่ที่ 500-1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง (m³/h) สำหรับการดูดควันทั่วไป
4. เสียงขณะทำงาน
- เลือกเครื่องดูดควันที่มีระดับเสียงไม่เกิน 60 เดซิเบล เพื่อไม่ให้รบกวนการทำงานในครัว
5. ดีไซน์และความเหมาะสมกับห้องครัว
- ควรเลือกเครื่องดูดควันที่เข้ากับสไตล์ของห้องครัว เช่น สไตล์มินิมอล หรือสไตล์ลอฟต์
วิธีการใช้งานเครื่องดูดควันอย่างมีประสิทธิภาพ
- เปิดเครื่องดูดควันก่อนเริ่มทำอาหาร
- เปิดเครื่องล่วงหน้า 2-3 นาที เพื่อเตรียมระบบการดูดควัน
- ปรับระดับความแรงให้เหมาะสม
- ใช้ระดับความแรงต่ำสำหรับอาหารที่มีกลิ่นน้อย และความแรงสูงสำหรับอาหารที่มีควันและกลิ่นแรง
- ปิดเครื่องดูดควันหลังใช้งานประมาณ 5 นาที
- เพื่อให้ควันและกลิ่นถูกดูดออกจนหมด
- อย่าใช้เครื่องดูดควันเป็นที่เก็บของ
- การวางสิ่งของบนเครื่องดูดควันอาจทำให้ระบบระบายอากาศทำงานได้ไม่เต็มที่
การดูแลรักษาเครื่องดูดควัน
- ทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศเป็นประจำ
- แผ่นกรองอากาศควรถอดล้างทุก 2-4 สัปดาห์ โดยใช้ผงซักฟอกและน้ำอุ่น
- ตรวจสอบมอเตอร์และพัดลม
- หากมีเสียงดังผิดปกติ ควรเรียกช่างผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ
- เช็ดทำความสะอาดภายนอก
- ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดเช็ดคราบน้ำมันที่สะสม
- เปลี่ยนฟิลเตอร์คาร์บอนเมื่อหมดอายุ
- ฟิลเตอร์คาร์บอนในเครื่องแบบหมุนเวียนอากาศควรเปลี่ยนทุก 6-12 เดือน
ประโยชน์ของเครื่องดูดควัน
- ลดกลิ่นและควันในห้องครัว
- ช่วยลดกลิ่นอาหารและควันให้อากาศภายในบ้านสดชื่น
- ป้องกันการสะสมของคราบน้ำมัน
- ลดปัญหาคราบน้ำมันบนผนังและเฟอร์นิเจอร์ในครัว
- เพิ่มสุขอนามัยในห้องครัว
- ทำให้ห้องครัวสะอาดและเหมาะสำหรับการเตรียมอาหาร
- ปรับปรุงคุณภาพอากาศ
- ลดความเสี่ยงจากการสูดดมควันที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
- เพิ่มความสวยงามให้ครัว
- เครื่องดูดควันที่ออกแบบอย่างดีช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้ห้องครัว
สรุป
เครื่องดูดควัน เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ห้องครัวสะอาดและปราศจากกลิ่นและควัน การเลือกเครื่องดูดควันที่เหมาะสมกับพื้นที่และลักษณะการใช้งาน รวมถึงการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้เครื่องดูดควันใช้งานได้ยาวนานและมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าคุณจะอยู่บ้านเดี่ยว คอนโด หรือร้านอาหาร เครื่องดูดควันคือเครื่องมือที่ช่วยยกระดับความสะดวกสบายและสุขอนามัยในครัวของคุณได้อย่างแท้จริง